36 วิธีใช้ Table Name เพื่อช่วยปรับขนาดพื้นที่เมื่อมีจำนวนรายการเพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องแก้สูตรตาม

ตามปกติเมื่อสร้างสูตรอ้างอิงกับตำแหน่งเซลล์หรือตำแหน่งตาราง จากนั้นเมื่อมีการย้ายหรือ Insert/Delete ทำให้เซลล์หรือตารางนั้นเปลี่ยนตำแหน่งหรือมีขนาดพื้นที่ต่างไปจากเดิม จะพบว่าตำแหน่งอ้างอิงที่กำหนดไว้ในสูตรมีการปรับตำแหน่งตามให้เอง แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะจำนวนรายการของข้อมูลในตารางนั้นให้มีจำนวนรายการเพิ่มลด จะพบว่าตำแหน่งอ้างอิงที่กำหนดไว้ในสูตร มิได้ขยายหรือลดขอบเขตตารางตามปริมาณข้อมูลที่มีอยู่แต่อย่างใด ผู้ใช้ Excel ทั่วไปจึงมักแก้ไขโดยสร้างสูตรที่มีขอบเขตตารางเผื่อไว้ บางคนถึงกับใช้ตำแหน่งอ้างอิงทั้ง column เผื่อไว้ ส่งผลให้แฟ้มนั้นมีขนาดใหญ่และคำนวณช้าลงผิดปกติ

ใน Excel  2010 เป็นต้นมาได้ตั้งชื่อคำสั่งใหม่เป็น Table (เป็นคำสั่งที่ต่างจาก Data Table) โดยสั่ง Insert > Table หรือ Home > Format as Table ทำให้ Excel ปรับขอบเขตตารางตามปริมาณข้อมูลที่เพิ่มให้โดยอัตโนมัติ ช่วยทำให้ตำแหน่งอ้างอิงที่กำหนดไว้ในสูตร, Format, Conditional Formatting, Data Validation, หรือแม้แต่ใน Pivot Table ปรับขนาดตามให้ทันที

แม้คำสั่ง Table จะมีประโยชน์อย่างมาก แต่ก็เหมาะกับตารางเก็บข้อมูลซึ่งบันทึกไว้เป็นฐานข้อมูลที่ดีเท่านั้น และผู้ใช้งานควรทราบเพิ่มเติมอีกว่า คำสั่งนี้จะทำให้เกิดตำแหน่งอ้างอิงแบบพิเศษที่เรียกว่า Structured Reference มาใช้แทนตำแหน่งอ้างอิงแบบปกติ เช่น =SUM(Table2[Cost]) จะคืนค่าเป็นยอดรวมของ Cost หาต่อมามีการสั่งยกเลิก Table จะทำให้สูตรที่เคยใช้ Structured Reference แก้กลับมาใช้ตำแหน่งอ้างอิงตามปกติให้เอง ทำให้สูตร =SUM(Table2[Cost]) แก้กลับมาเป็น =SUM(Sheet1!$E$3:$E$7)

การยกเลิก Table ทำได้ง่ายๆโดยคลิกขวาลงไปในตารางที่เป็น Table แล้วสั่ง Table > Convert to range แต่ถ้าเปลี่ยนใจสั่ง Insert > Table ขึ้นมาใหม่ จะพบว่าสูตร =SUM(Sheet1!$E$3:$E$7) ไม่เปลี่ยนกลับไปเป็น =SUM(Table2[Cost]) แต่อย่างใด ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ใช้ Range Name ที่ตั้งชื่อขึ้นมาเองไว้ก่อน จะยืดหยุ่นและถาวรกว่าการใช้ Structured Reference

Online Excel Expert Training @ XLSiam
Scroll to Top